วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556



มิลล์คอนฯ มั่นใจใช้เหล็กพุ่ง ระบุปีนี้ยอดใช้โตกว่า 17 ล้านตัน/จับตาปี 58 พุ่ง 20 ล้านตัน

MILLมั่นใจแนวโน้มเหล็กสดใสยอดการใช้ในประเทศพุ่งต่อเนื่อง เด้งรับการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานรัฐและเอกชน ชี้ปีนี้ปริมาณการใช้เหล็กทุกชนิดโตกว่า 17 ล้าน...
ตัน จับตาปี 2558 ขยับตัวแรง คาดตัวเลขบริโภคพุ่ง 20 ล้านตัน รองรับการก่อสร้าง เซียนวงการเหล็กยุคบุกเบิกลั่น ทำธุรกิจเหล็กยากขึ้นแข่งขันสูง ไม่มีกำแพงกั้น

นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน)หรือ MILLผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์การใช้เหล็กทุกชนิดในประเทศว่า สถิติการขยายตัวจะมีอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป โดยปี 2556 คาดว่าจะมีการใช้เหล็กในประเทศสูงขึ้นจาก 16 ล้านตันในปี2555 เพิ่มเป็นกว่า 17 ล้านตันต่อปี หรือขยายตัว 7-8% เนื่องจากนโยบายรัฐมีการกระตุ้นงบลงระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ความต่อเนื่องของการลงทุนด้านรถไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนจากภาคเอกชนด้านอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างอาคารโรงงานที่ขยายตัว

ทั้งนี้มองว่าอุตสาหกรรมเหล็กนับจากนี้ไปจะมีทิศทางที่สดใสมากขึ้น และต่อเนื่องไปถึงปี 2558 ที่การก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการตอกเสาเข็มมากขึ้น และยิ่งถ้ารัฐบาลอัดฉีดงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่องก็จะทำให้เหล็กมีการขยายตัวมากขึ้น เบื้องต้นน่าจะมีการใช้เหล็กทุกชนิดรวมกันไต่ระดับสูงถึง 20 ล้านตันต่อปี

สำหรับผู้ประกอบการเหล็กบางรายที่กำลังเผชิญปัญหาในการดำเนินธุรกิจอยู่ในขณะนี้นั้น น่าจะขึ้นอยู่ที่การบริหารจัดการของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะสต๊อกวัตถุดิบ เช่น เศษเหล็ก, บิลเล็ต(วัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเหล็กทรงยาว เช่นเหล็กเส้น) และสแลป(วัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเหล็กทรงแบน เช่นเหล็กแผ่นรีดร้อน)ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กที่ผลิต โดยเฉพาะเหล็กชนิดที่กำลังถูกดัมพ์ตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากที่ให้การสนับสนุนผู้ส่งออกเหล็ก โดยการคืนภาษีให้ผู้ส่งออกตั้งแต่ 9-13% แล้วแต่ประเภทของเหล็ก ซึ่งผิดหลักองค์การการค้าโลก(WTO)กรณีนี้ถ้ามีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะทำให้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศสามารถแข่งขันได้ ซึ่งกรณีนี้MILL ถือว่าโชคดี เพราะผลิตเหล็กทรงยาว เหล็กแผ่น เช่น ท่อตัวซี และเหล็กแบนตัด จึงไม่ได้รับแรงกดดันดังกล่าวมากนัก

แหล่งข่าวจากวงการเหล็กรายหนึ่ง กล่าวว่าก่อนหน้านี้เคยนั่งบริหารธุรกิจเหล็กราว 10 ปีมาแล้ว มองว่าเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุน จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตสดใส ขึ้นอยู่ที่ประเภทของเหล็ก และเป้าหมายว่าป้อนตลาดไหน เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไปใครที่ยังอยู่ในวงการเหล็กก็น่าจะมีผลการดำเนินธุรกิจที่ดี โดยเฉพาะในปี 2558 ที่เปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ฐานการผลิตในประเทศไทยจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญและมีความได้เปรียบสูง ฉะนั้นผู้ผลิตไทยจะได้รับประโยชน์ 2 ทาง คือผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในงานโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศไทยและรองรับตลาดเออีซีที่มีศักยภาพและมีขนาดใหญ่

ด้านนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เหมราช พัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) อดีตเซียนวงการเหล็กกล่าวยอมรับว่า ต่อจากนี้ไปการทำธุรกิจเหล็กจะยากขึ้น เพราะมีการแข่งขันสูง สมัยก่อนการนำเข้า ยังมีกำแพงภาษีกั้น เช่น ภาษีอากรนำเข้าเหล็กสูงถึง 30% มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping )หรือ เอดี ปัจจุบันสามารถนำเข้ามาง่ายโดยไม่มีกำแพงภาษีอากรนำเข้า ในขณะที่รัฐบาลในประเทศผู้นำเข้าก็ให้การสนับสนุน ส่งออก เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เบลเยียมและ อังกฤษ เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,862 วันที่ 18 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น